ประวัติสโมสรแมนยูฯ Manchester United Football Club ฉายา “ปีศาจแดง”

ประวัติสโมสรแมนยูฯ รู้ลึกประวัติสโมสรฟุตบอลที่ชอบ เจาะลึก “ปีศาจแดง” มาทำความรู้จักกัน

ประวัติสโมสรแมนยูฯ วันนี้เราจะพาทุกท่านนั้น มาทำความรู้จักไปกับ ทีมฟุตบอลทีมโปรดของใครหลายๆคน บอกเลยว่าวันนี้เราจะพาทุกท่าน มาเจาะลึกประวัติแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด หรือชื่อภาษาอังกฤษ Manchester United Football Club ซึ่งได้เป็นสโมสรฟุตบอล ตั้งได้อยู่ที่โอลด์แทรฟฟอร์ดในเกรเทอร์แมนเชสเตอร์ ประเทศอังกฤษ

ซึ่งในปัจจุบันนี้ ที่ได้มีการแข่งขันในพรีเมียร์ลีก ซึ่งได้เป็นลีกสูงสุดของ ฟุตบอลอังกฤษ สโมสรมีฉายา “ปีศาจแดง” โดยสำหรับการก่อตั้งใน ชื่อสโมสรฟุตบอลนิวตันฮีตแอลวายอาร์ใน ค.ศ. 1878 โดยในเวลาต่อมา ก็ได้มีการเปลี่ยนชื่อมาเป็น แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ใน ค.ศ. 1902 และได้มีการย้ายไปเล่น ที่สนามเหย้าปัจจุบันอย่างโอลด์แทรฟฟอร์ดใน ค.ศ. 1910

สำหรับ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ที่ได้เป็นหนึ่งในสโมสร ที่ได้ชนะเลิศถ้วยรางวัลมากที่สุดในฟุตบอลอังกฤษ โดยชนะเลิศลีก 20 สมัย ซึ่งได้เป็นสถิติสูงสุด, เอฟเอคัพ 12 สมัย, ลีกคัพ 5 สมัย และเอฟเอคอมมิวนิตีชีลด์ 21 สมัย ซึ่งก็ได้เป็นสถิติสูงสุดเช่นกัน เพราะทำหรับทีมยูไนเต็ดยังชนะเลิศ ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก 3 สมัย, ยูฟ่ายูโรปาลีก 1 สมัย, ยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพ 1 สมัย, ยูฟ่าซูเปอร์คัพ 1 สมัย, อินเตอร์คอนติเนนตัลคัพ 1 สมัย

แถมยังมี ฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก 1 สมัย โดยในฤดูกาล 1998–99 ที่ถือได้ว่าเป็นสโมสร ที่ได้กลายเป็นทีมแรก ในประวัติศาสตร์ฟุตบอลอังกฤษ ที่คว้าทริปเปิลแชมป์ระดับทวีปยุโรป และในฤดูกาล 2016–17 โดยหลังจากที่ได้มีการ ชนะเลิศยูฟ่ายูโรปาลีก พวกเขากลายเป็นหนึ่งใน ห้าสโมสรที่ชนะเลิศการแข่งขันรายการหลักของยูฟ่าครบทั้งสามรายการอีกด้วย

สำหรับ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ที่ได้เป็นสโมสรฟุตบอลที่มีรายได้สูงที่สุดในโลกในฤดูกาล 2016–17 ด้วยรายได้ต่อปี ที่ได้เป็นจำนวน 676.3 ล้านยูโร และเป็นสโมสรที่มีมูลค่าสูงเป็นอันดับที่สามของโลกใน ค.ศ. 2019 เป็นมูลค่า 3.15 พันล้านปอนด์ (3.81 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ณ ค.ศ. 2015 และสำหรับสโมสรเป็นเครื่องหมายการค้าฟุตบอล ที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก ซึ่งคาดว่ามีมูลค่า 1.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพราะหลังจากที่ได้มีการซื้อขายหุ้น ในตลาดหลักทรัพย์ลอนดอนเมื่อ ค.ศ. 1991

สโมสรเอง ก็ได้กลับมาเป็นบริษัทเอกชนจากการที่มัลคอม เกลเซอร์ซื้อกิจการเมื่อ ค.ศ. 2005 ด้วยมูลค่าเกือบ 800 ล้านปอนด์ ซึ่งเงินที่ถูกกู้กว่า 500 ล้านปอนด์นี้กลายเป็นหนี้ของสโมสร และตั้งแต่ ค.ศ. 2012 หุ้นบางส่วนของสโมสรเอง ก็ได้มีการถูกเสนอขายใน ตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก แม้ว่าตระกูลเกลเซอร์จะยังคงมีบทบาทเป็นเจ้าของและควบคุมสโมสรนั่นเอง

ประวัติสโมสรแมนยูฯ

สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ประวัติของสโมสร ที่น่ารู้

ประวัติสโมสรแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดช่วงแรก (1878–1945)

สำหรับสโมสรฟุตบอล แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด โดยได้มีการก่อตั้งขึ้นเมื่อ ค.ศ. 1878 ในชื่อสโมสรฟุตบอลนิวตันฮีตแอลวายอาร์ (อังกฤษ: Newton Heath LYR Football Club) โดยพนักงานแผนกตู้โดยสาร และตู้สินค้าของโรงซ่อมบำรุงรถไฟแลงคาเชียร์และยอร์กเชียร์ที่นิวตันฮีต ในช่วงแรก ทีมแข่งขันกับแผนกและบริษัทรถไฟอื่น ๆ แต่เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน ค.ศ. 1880

จึงทำให้พวกเขาแข่งขันในนัดแรกที่มีการบันทึกไว้ โดยสวมเสื้อสีประจำบริษัทอย่าง สีเขียวและสีทอง นัดนั้น พวกเขาพ่ายแพ้ต่อทีมสำรองของ โบลตันวอนเดอเรอส์ด้วยผลประตู 6–0 ต่อมาใน ค.ศ. 1888 โดยสำหรับสโมสรกลาย เป็นสมาชิกผู้ก่อตั้งของเดอะคอมบิเนชัน ลีกฟุตบอลระดับภูมิภาค แต่หลังจากยุบลีกในช่วงเวลาผ่านไปเพียงฤดูกาลเดียว

นิวตันฮีทที่ได้มีการเข้าร่วม กับฟุตบอลอัลไลแอนซ์ที่เพิ่งก่อตั้งใหม่ โดยแข่งขันสามฤดูกาลก่อนที่ลีกจะถูกรวมเข้ากับฟุตบอลลีก ส่งผลให้สโมสรเริ่มต้นฤดูกาล 1892–93 ในเฟิสต์ดิวิชัน ณ เวลานั้น พวกเขาแยกตัวออกจากบริษัทรถไฟและนำคำว่า “แอลวายอาร์” ออกจากชื่อ สองฤดูกาลถัดมา สโมสรตกชั้นสู่เซคันด์ดิวิชัน และในเดือนมกราคม ค.ศ. 1902 สโมสรติดหนี้เป็นจำนวน 2,670 ปอนด์ หรือเท่ากับ 290,000 ปอนด์ใน ค.ศ. 2020 จนได้มีคำสั่งให้เลิกกิจการ กัปตันทีม แฮร์รี สแตฟเฟิร์ด ก็ได้ไปพบกับนักธุรกิจท้องถิ่นสี่คน

ซึ่งรวมถึงจอห์น เฮนรี เดวีส์ (ผู้ซึ่งต่อมากลายเป็นประธานสโมสร) ทุกคนยินดีที่จะลงทุนเงิน 500 ปอนด์เพื่อแลกกับผลประโยชน์ โดยตรงในการบริหาร สโมสร พร้อมทั้ง เปลี่ยนชื่อสโมสรในภายหลัง ทำให้ในวันที่ 24 เมษายน ค.ศ. 1920 สโมสรแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ก็ได้ถือกำเนิดขึ้น อย่างเป็นทางการ เออร์เนสต์ มังแนล ผู้รับตำแหน่ง ผู้จัดการทีมใน ค.ศ. 1903 พาทีมจบรองชนะเลิศในเซคันด์ดิวิชันใน ค.ศ. 1906 จนได้เลื่อนชั้นสู่เฟิสต์ดิวิชัน

ซึ่งพวกเขาชนะเลิศใน ค.ศ. 1908 นับเป็นแชมป์ลีกสมัยแรก ของสโมสร โดยสำหรับพวกเขาเริ่มต้นฤดูกาล ถัดมาด้วยการชนะเลิศแชริตีชีลด์ เป็นสมัยแรกเป็นสโมสรก่อน ที่จะมีการจบฤดูกาลด้วยการ ชนะเลิศเอฟเอคัพ ซึ่งเราถือว่าเป็นสมัยแรกของสโมสรเช่นเดียวกัน สำหรับ ทีมฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ชนะเลิศเฟิสต์ดิวิชัน ที่ได้เป็นสมัยที่สองใน ค.ศ. 1911 แต่หลังจากที่ได้มีการจบฤดูกาลถัดมา มังแนลออกจากสโมสรและ เข้าร่วมแมนเชสเตอร์ซิตี นั่นเอง

ประวัติสโมสรแมนยูฯ

ยุคของบัสบี (1945–1969)

และในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1945 ที่ได้มีการกลับมา แข่งขันฟุตบอล อีกครั้งทำให้มีการแต่งตั้งผู้จัดการทีมคนใหม่ คือ แมตต์ บัสบี ผู้เรียกร้องอำนาจการคุมทีมสูงอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ทั้งการเลือกผู้เล่น การซื้อขายผู้เล่น และการฝึกซ้อม บัสบีพาทีมจบอันดับที่สองในลีกใน ค.ศ. 1947, 1948 และ 1949 และชนะเลิศเอฟเอคัพใน ค.ศ. 1948 ต่อมาใน ค.ศ. 1952 สโมสรชนะเลิศเฟิสต์ดิวิชันเป็นครั้งแรกในรอบ 41 ปี

และพวกเขายังชนะเลิศลีกสองสมัยติดต่อกันใน ค.ศ. 1956 และ 1957 โดยผู้เล่นชุดนั้นมีอายุเฉลี่ยเพียง 22 ปี สื่อมวลชนได้ขนานนามทีมว่า “เดอะบัสบีเบปส์” เพื่อเป็นเกียรติแก่บัสบี ที่ได้มีการให้โอกาสผู้เล่นเยาวชนของเขา ต่อมาใน ค.ศ. 1957 แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ได้กลายเป็นสโมสรแรก ของอังกฤษที่เข้าร่วมแข่งขันยูโรเปียนคัพ แม้ว่าจะมีการคัดค้านจาก ฟุตบอลลีก

ซึ่งปฏิเสธการเข้าร่วมของเชลซี ในฤดูกาลก่อนหน้า ยูโรเปียนคัพครั้งนั้น ยูไนเต็ดตกรอบรองชนะเลิศ หลังจากที่แพ้เรอัลมาดริด โดยก่อนหน้านี้ พวกเขาเอาชนะอันเดอร์เลคต์ ทีมชนะเลิศลีกเบลเยียม ด้วยผลประตู 10–0 นับเป็นผลชนะสูงสุดตลอดกาลของสโมสร โดยสำหรับผู้ช่วยผู้จัดการทีม จิมมี เมอร์ฟี ที่ได้มีการรับหน้าที่ เป็นผู้จัดการทีมในช่วงที่บัสบีรักษาตัว จากอาการบาดเจ็บ

และเขาพาทีมซึ่งประกอบด้วยผู้เล่นตัวสำรอง ก็ได้เข้าชิงชนะเลิศเอฟเอคัพ ซึ่งพวกเขาพ่ายแพ้ต่อโบลตันวอนเดอเรอส์ ซึ่งในช่วงเหตุการณ์ร้ายแรงนี้เอง ยูฟ่าได้เชิญสโมสร แถมยังได้มีการเข้าร่วมการแข่งขันยูโรเปียนคัพ ฤดูกาล 1958–59 ซ฿่งได้มาพร้อมกับวุลเวอร์แฮมป์ตันวอนเดอเรอส์ แม้ว่าสมาคมฟุตบอลจะอนุมัติให้เข้าร่วม แต่ฟุตบอลลีกตัดสินว่าสโมสรนั้น ก็ไม่ควรเข้าร่วมแข่งขันเพราะไม่ผ่านการคัดเลือก

บัสบีสร้างทีมขึ้นใหม่ในช่วงทศวรรษ 1960 โดยซื้อผู้เล่นอย่างเดนิส ลอว์และแพต เครแรนด์ ที่จะมาเล่นร่วมกันกับ ผู้เล่นดาวรุ่งหลายคนซึ่งรวมถึงจอร์จ เบสต์ พวกเขาชนะเลิศเอฟเอคัพได้ใน ค.ศ. 1963 ฤดูกาลถัดมา พวกเขาจบอันดับที่สองในลีก จากนั้นชนะเลิศลีกใน ค.ศ. 1965 และ 1967 ต่อมาใน ค.ศ. 1968 แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด กลายเป็นสโมสรแรกของอังกฤษ (และสโมสรที่สองของบริติช) ที่ชนะเลิศยูโรเปียนคัพ หลังเอาชนะไบฟีกาด้วยผลประตู 4–1 ในนัดชิงชนะเลิศ

ประวัติสโมสรแมนยูฯ

ประวัติสโมสรแมนยูฯ 1969–1986

ซึ่งสำหรับ หลังจากจบอันดับที่แปดในฤดูกาล 1969–70 และได้เริ่มต้นฤดูกาล 1970–71 ได้อย่างย่ำแย่ เพราะทางสโมสรได้มีการเกลี้ยกล่อม ให้กับทางบัสบีกลับมารับหน้าที่ผู้จัดการทีมชั่วคราว และในส่วนของแม็กกินเนสส์ ได้มีการกลับไปเป็นผู้จัดการทีมสำรอง ต่อมาในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1971 แฟรงก์ โอแฟร์เรลล์เข้ารับตำแหน่งผู้จัดการทีม แต่อยู่ในตำแหน่งได้ไม่ถึง 18 เดือน

ทอมมี ดอเชอร์ตีก็เข้ารับตำแหน่งแทนในเดือนธันวาคม ค.ศ.1972 ดอเชอร์ตีช่วยให้ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ซึ่งจะมีการรอดจากการตกชั้นได้ในฤดูกาลนั้น แต่ใน ค.ศ. ค.ศ. 1974 ทีมก็ต้องตกชั้นไป ทำให้ผู้เล่นสามประสานอันได้แก่ เบสต์, ลอว์ และชาร์ลตัน ย้ายออกจากสโมสร ทีมเลื่อนชั้นกลับมาได้ภายในฤดูกาลเดียวและยังเข้าชิงชนะเลิศเอฟเอคัพใน ค.ศ. 1976 แต่ก็พ่ายแพ้ให้กับเซาแทมป์ตัน

โดยพวกเขานั้น ได้มีการเข้าชิงชนะเลิศอีกครั้งใน ค.ศ. 1977 โดยสามารถเอาชนะลิเวอร์พูล ด้วยผลประตู 2–1 อย่างไรก็ตาม สโมสรปลดดอเชอร์ตีออกจากตำแหน่งหลังมีข่าวเชิงชู้สาวกับภรรยาของนักกายภาพสโมสร และต่อมาเดฟ เซ็กตันเข้ารับตำแหน่ง ผู้จัดการทีมแทนดอเชอร์ตีในฤดูร้อน ค.ศ.1977 และถึงแม้ว่า เขาจะเซ็นสัญญาผู้เล่นหลายคน

ซึ่งรวมทั้งโจ จอร์แดน, กอร์ดอน แม็กควีน, แกรี เบลีย์ และเรย์ วิลกินส์ แต่ทีมก็ยังไม่สามารถประสบความสำเร็จ พวกเขาจบอันดับที่สองในฤดูกาล 1979–80 และแพ้อาร์เซนอลในเอฟเอคัพ รอบชิงชนะเลิศ 1979 แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดชนะเลิศเอฟเอคัพสองครั้งในช่วงสามปี คือใน ค.ศ. 1983 และ 1985 ต่อมาในฤดูกาล 1985–86

ซึ่งหลังจากชนะ 13 นัดและเสมอ 2 นัดใน 15 นัดแรกของฤดูกาล สโมสรมีความหวังที่จะชนะเลิศลีก แต่สุดท้ายต้องจบเพียงอันดับสี่เท่านั้น ฤดูกาลถัดมา ในช่วงเดือนพฤศจิกายน สโมสรอยู่ในอันดับที่สุ่มเสี่ยงต่อการตกชั้น ทำให้สโมสรปลดแอตกินสันออกจากตำแหน่ง

ประวัติสโมสรแมนยูฯ ยุคของเฟอร์กูสัน (1986–2013)

อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน และได้มีผู้ช่วยของเขา อาร์ชี น็อกซ์ ที่มาจากแอเบอร์ดีน และก็ยังได้มีการเข้ารับตำแหน่งผู้จัดการทีมในวันเดียวกัน กับที่แอตกินสันถูกปลดออก และพาสโมสรจบอันดับที่ 11 ในลีก แม้ว่าสโมสรจะจบอันดับที่ 2 ในฤดูกาล 1987–88 แต่ในฤดูกาลถัดมา สโมสรกลับไปจบอันดับที่ 11 เหมือนเดิม มีรายงานว่าเฟอร์กูสันจะถูกไล่ออก ก่อนที่ใน ค.ศ. 1990 สโมสรจะชนะเลิศเอฟเอคัพเหนือ คริสตัลพาเลซในนัดชิงชนะเลิศที่แข่งใหม่ (หลังจากที่เสมอกัน 3–3)

โดยได้ทำให้เฟอร์กูสันได้ทำหน้าที่ต่อ ฤดูกาลถัดมา แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดชนะเลิศยูฟ่า คัพวินเนอร์สคัพเป็นสมัยแรก ทำให้ได้เข้าร่วมแข่งขันยูฟ่าซูเปอร์คัพ 1991 และสามารถเอาชนะเรดสตาร์ เบลเกรด ทีมชนะเลิศยูโรเปียนคัพ ด้วยผลประตู 1–0 ในนัดชิงชนะเลิศที่โอลด์แทรฟฟอร์ด ต่อมาใน ค.ศ. 1992 และต่อมาในฤดูกาล 1998–99 แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ก็ได้กลายเป็นสโมสรแรก ที่ชนะเลิศพรีเมียร์ลีก เอฟเอคัพ

และยังมี ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก หรือ “ทริปเปิลแชมป์” ได้ในฤดูกาลเดียวกัน โดยในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก นัดชิงชนะเลิศ 1999 ยูไนเต็ดตามหลังอยู่ 1–0 แต่เมื่อเข้าสู่ช่วงทดเวลาบาดเจ็บ เท็ดดี เชอริงงัมและอูเลอ กึนนาร์ ซูลชาร์ ทำประตูแซงเอาชนะ ไบเอิร์นมิวนิกได้อย่างปาฏิหาริย์ ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในการกลับมา เอาชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล สโมสรยังชนะเลิศอินเตอร์คอนติเนนตัลคัพหลังจากที่เอาชนะปัลเมย์รัสด้วยผลประตู 1–0 ที่โตเกียว เฟอร์กูสันได้รับยศอัศวินจากคุณประโยชน์ของเขาที่มีต่อฟุตบอล

2013–ปัจจุบัน ประวัติสโมสรแมนยูฯ

สำหรับ ประวัติสโมสรแมนยูฯ เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม ค.ศ. 2013 เฟอร์กูสัน ได้ออกมาประกาศว่าเขาจะเกษียณ จากตำแหน่งผู้จัดการทีมหลังจบฤดูกาล แต่ก็จะยังคงเป็นผู้อำนวยการและทูตของสโมสร วันถัดมา สโมสรประกาศว่า เดวิด มอยส์ ผู้จัดการทีมของเอฟเวอร์ตัน จะรับหน้าที่ต่อจากเขาตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม ด้วยสัญญาหกปี อีกสิบเดือนถัดมา เมื่อวันที่ 22 เมษายน ค.ศ. 2014

ไรอัน กิกส์รับหน้าที่เป็นผู้เล่น-ผู้จัดการทีมชั่วคราวหลังจากที่มอยส์ถูกปลดออกเนื่องจากผลงานอันย่ำแย่ โดยสโมสรไม่สามารถป้องกันแชมป์ลีกและไม่สามารถผ่านเข้าไปเล่นในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ฤดูกาล 1995–96 และอีกทั้งก็ยัง ไม่สามารถผ่านเข้าไปเล่นใน ยูโรปาลีก ก็ได้ถือเป็นครั้งแรกที่ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด

ไม่สามารถผ่านเข้าไปเล่นในการแข่งขันระดับทวีปยุโรปนับตั้งแต่ ค.ศ. 1990 วันที่ 19 พฤษภาคม ค.ศ. 2014 มีการยืนยันว่าลูวี ฟัน คาลจะเข้ารับตำแหน่งผู้จัดการทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดแทนมอยส์ด้วยสัญญาสามปี โดยมีกิกส์เป็นผู้ช่วย มัลคอล เกลเซอร์ หัวหน้าตระกูลเกลเซอร์ผู้เป็นเจ้าของสโมสรได้เสียชีวิตลงเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม ค.ศ. 2014

ในฤดูกาลแรกของฟัน คาล แม้ว่าเขาจะพายูไนเต็ดกลับไปเล่นในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกอีกครั้งจากการจบอันดับที่สี่ในลีก แต่ในฤดูกาลที่สองของเขา ยูไนเต็ดกลับตกรอบแบ่งกลุ่ม อีกทั้งยังจบเพียงอันดับที่ห้า ไม่สามารถลุ้นแชมป์ลีกได้เป็นฤดูกาลที่สามติดต่อกัน แม้ว่าเขาจะเซ็นสัญญาผู้เล่นค่าตัวแพงเข้ามาก็ตาม ในฤดูกาลเดียวกัน แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดชนะเลิศเอฟเอคัพเป็นสมัยที่ 12 นับเป็นถ้วยรางวัลแรกของพวกเขานับตั้งแต่ ค.ศ. 2013

และถึงแม้ว่าทีมจะชนะเลิศ สโมสรกลับปลดฟัน คาล ออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีมในอีกสองวันต่อมา โดยโชเซ มูรีนโย เข้ารับตำแหน่งแทนเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม ด้วยสัญญาสามปี ในฤดูกาลนั้น ยูไนเต็ดจบอันดับที่หกพร้อมกับชนะเลิศอีเอฟแอลคัพเป็นสมัยที่ห้า และชนะเลิศยูฟ่ายูโรปาลีกเป็นสมัยแรก เช่นเดียวกับการชนะเลิศเอฟเอคอมมิวนิตีชีลด์เป็นสมัยที่ 21 ในนัดแรกที่มูรีนโยคุมทีม

แม้ว่าจะไม่จบในสี่อันดับแรก แต่ยูไนเต็ดสามารถผ่านเข้าสู่แชมเปียนส์ลีกได้จากการชนะเลิศยูโรปาลีก เวย์น รูนีย์ทำประตูที่ 250 ให้กับยูไนเต็ด แซงหน้าเซอร์ บ็อบบี ชาร์ลตัน ในฐานะผู้ทำประตูสูงสุดตลอดกาลของสโมสร ก่อนที่เขาจะออกจากสโมสรหลังจบฤดูกาลเพื่อย้ายกลับเอฟเวอร์ตัน ฤดูกาลถัดมา ยูไนเต็ดจบอันดับที่สองในลีก นับเป็นอันดับที่สูงที่สุดนับตั้งแต่ ค.ศ. 2013

แต่ทีมมีคะแนนตามหลังคู่ปรับอย่างแมนเชสเตอร์ซิตีถึง 19 แต้ม มูรีนโยพาสโมสรเข้าชิงชนะเลิศเอฟเอคัพเป็นครั้งที่ 19 ก่อนที่จะแพ้ให้กับเชลซี 1–0 ต่อมาในวันที่ 18 ธันวาคม ค.ศ. 2018 ซึ่งยูไนเต็ดอยู่อันดับที่หกของตารางโดยมีคะแนนตามหลังอันดับที่หนึ่งอย่างลิเวอร์พูล 19 แต้ม และตามหลังพื้นที่แชมเปียนส์ลีก 11 แต้ม สโมสรปลดมูรีนโยออกจากตำแหน่งหลังจากที่เขาคุมทีมได้ 144 นัด วันถัดมา

อดีตผู้เล่นในตำแหน่งกองหน้าของสโมสร อูเลอ กึนนาร์ ซูลชาร์เข้ารับตำแหน่งผู้จัดการทีมรักษาการจนจบฤดูกาล[78] ต่อมาในวันที่ 28 มีนาคม ค.ศ. 2019 ซูลชาร์รับตำแหน่งผู้จัดการทีมถาวรด้วยสัญญาสามปี หลังจากทำผลงานอันยอดเยี่ยมด้วยการชนะ 14 จาก 19 นัดแรก อีกทั้งยังพลิกเอาชนะปารีแซ็ง-แฌร์แม็งในแชมเปียนส์ลีกทั้งที่แพ้ในเลกแรกด้วยผลประตู 2–0 ต่อมาติดตามอ่าน สโมสรฟุตบอลเชลซี  ได้เลย

ติดต่อเราได้ที่ : @LINE